NARAKA BLADEPOINT เป็นเกมแนวแบทเทิลรอยัลที่มีระบบการต่อสู้คล้ายกับเกมแอคชั่นสวมบทบาทที่ผู้เล่น 60 คนต่อสู้ด้วยอาวุธและการผสมผสานที่หลากหลาย ซึ่งมีทั้งระยะไกลและระยะใกล้ ตัวละครของผู้เล่นยังมีความสามารถเฉพาะตัวที่หลากหลาย และเกมยังให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งตัวละครเหล่านี้ให้มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ระบบการต่อสู้ของเกมโดดเด่นคือระบบการเดินทางซึ่งใช้ “ปืนเกี่ยว” ที่ทำให้การเคลื่อนที่ในเกมราบรื่นมาก นอกจากนี้ แผนที่ในเกมยังได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้ Hook Gun อีกด้วย
โดย Rayland Kwan ผู้จัดการทั่วไปของ 24 Entertainment ในการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับต้นกำเนิดของ NARAKA: BLADEPOINT อธิบายว่าเดิมทีเกมนี้แตกต่างจากเกมที่จะวางจำหน่ายเร็วๆ นี้อย่างมาก แต่ทีมงานมองเห็นศักยภาพที่จะเป็นหนึ่งเดียว เกมแนวแบทเทิลรอยัลรูปแบบใหม่ Ray Kuan ผู้สร้าง Meteor Blade ยังรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างหลักด้วย นอกเหนือจากระบบเกม Battle Royale แล้ว ทีมงานยังวางแผนที่จะพัฒนา PvE และโหมดเกมอื่นๆ ในอนาคตอีกด้วย
NARAKA BLADEPOINT สอนเล่น อธิบาย
NARAKA BLADEPOINT แม้จะเป็นเกม Battle Royale แต่ตัวเกมก็เลือกที่จะเล่าที่มาที่ไป และเนื้อเรื่องของเกมผ่านทางช่วงช่วง Intro หรือฉากเปิดตัวของเกม เมื่อเราเข้าเกมไปในครั้งแรก และหากใครพลาดกด Skip ข้ามไป ก็สามารถย้อนกลับมาดูอีกครั้งได้ทุกเมื่อ สำหรับเนื้อเรื่องของเกมเต็มก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรื่องราวของหมู่เกาะปริศนาที่ชื่อว่า Isle of Morus สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ประลองสุดเดือดของเหล่าเทพเจ้าโบราณ และมีเทพหลายองค์ได้ตายลงที่นี่ เลยทำให้มันกลายเป็นสถานที่ต้องสาปและอันตรายเป็นอย่างมาก
รวมไปถึงสิ่งของวิเศษในตำนานอย่างดอกไม้อมตะ (Immortal Flower) และหน้ากากแห่งความเป็นอมตะ (Mask of Immorality) ที่กลายเป็นสองสิ่งของ ดึงดูดเหล่าจอมยุทธ์เข้ามาประลองกันในที่แห่งนี้ และนี่คือเนื้อเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับฉากหลังของตัวเกมอย่าง Isle of Morus และนอกเหนือจากนี้ ส่วนของเนื้อเรื่องเกมจะถูกเล่าผ่านมุมมองและสายตาของตัวละครทั้ง 7 ตัวในเกมแทน แถมไม่ได้เล่าเป็นคัทซีนอะไรเลย เพราะจะเล่าผ่านตัวหนังสือ คล้าย ๆ กับการอ่านนิยาย และการปลดล็อคเนื้อเรื่องของตัวละครแต่ละตัว ผู้เล่นก็จะต้องเล่นภารกิจเพื่อปลดล็อคด้วย ราวกับว่า ถ้าอยากรู้เรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ คุณก็ต้องเล่นให้มันเชี่ยวชาญเพื่อสร้างความสนิทสนมก่อนนั่นเอง
ฉากหลังที่ถูกนำเสนอในเกมเนี้คือหมู่เกาะแห่งปัญญาหรือ Isle of Morus การออกแบบแผนที่เพื่อใช้กับเกม Battle Royale น่าจะเป็นอะไรที่ยากพอสมควร โดยเฉพาะกับเกมที่เน้นการต่อสู้ระยะประชิด แต่เกมนี้ยังคงจัดเต็มในด้านของรายละเอียดในแผนที่ แม้มันจะสลับซับซ้อนแค่ไหน แต่เขาตัดปัญหานี้ทิ้งไปหมดด้วยการออกแบบเกมเพลย์ซึ่งจะเล่าในหัวข้อถัดไป แต่ตลอดการเดินทางในแผนที่ เราจะพบเจอทั้งหมู่บ้านขนาดเล็ก ใหญ่ พื้นที่ที่เหมือนกับพระราชวัง หอคอยสูง เขตทะเลทราย และอื่น ๆ อีกมาก ที่น่าเสียดายไปหน่อยสำหรับเกมนี้คือ สถานที่แต่ละแห่งนั้น ไม่ค่อยจะมีความแตกต่างหรือผลกระทบใด ๆ นัก แต่บางจุดก็ออกแบบมาดีมาก จนการต่อสู้สนุกขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
สิ่งที่ต้องชื่นชมคือดีไซน์ตัวละครที่สมกับเป็นเกมจากประเทศจีน ใครที่ชื่นชอบหน้าตา ทรงผม ความสวย ความหล่อ บอกเลยว่าทั้ง 7 ตัวละครนี้ ดึงดูดผู้คนได้ทั้งหมดอย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะตัวละครสาว ๆ ที่ยังไงก็ได้ใจหนุ่ม ๆ แทบจะทุกคนอยู่แล้ว และมันยังมาพร้อมการออกแบบสกินที่ชวนเอาเกมเมอร์สายแฟชั่นต้องกระเป๋าสั่นตลอด เพราะความแตกต่างของการมี กับไม่มีสกินเกมนี้ แตกต่างกันอย่างชัดเจนราวกับแบรนด์เสื้อผ้าตลาด 199 กับแบรนด์เนมสุดหรูระดับโลกยังไงยังงั้น แม้ว่าใส่แล้วมันจะไม่ได้บวกค่าสถานะให้ตีแรงขึ้นแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าผู้เล่นหลายคนหลังเห็นสกินทั้งตัวละคร ทั้งอาวุธก็ต้องมีบ้างที่จะกระเป๋าเงินสั่น เติมเงินซื้อให้มันรู้แล้วรู้รอด
NARAKA BLADEPOINT ในส่วนของโหมดเกมการเล่นที่เกมมีให้นั้น เกมเป็นเกม Battle Royale ในโหมดปกติอย่าง The Herald’s Trial ก็จะเป็นการแท็กทีม 3 คน หรือลุยคนเดียว เพื่อต่อสู้กับทีมอื่นหรือผู้เล่นอื่น อยู่รอดเป็นอันดับ 1 ให้ได้ แต่ใครที่เบื่อกับการวิ่งหาของ อยากซัดกันมั่ว ๆ มัน ๆ เกมนี้มีอีกโหมดอย่าง Bloodbath ที่จะปล่อยให้ผู้เล่นสู้กันไปเรื่อย ๆ คล้ายโหมด Deathmatch ใครที่ฆ่าได้ก็จะได้คะแนน สะสมไปเรื่อย ๆ จนจบเกม ผู้ที่คะแนนสูงที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะไป และที่เจ๋งมาก ๆ คือห้อง Free Training ที่มีทุกอย่างให้เราทดสอบ ทั้งชุด
อาวุธ Soulsjade เครื่องแต่งกาย อาวุธ และอื่น ๆ ให้เราได้ทดลองใช้ ทดลองเล่นก่อนลงสนามจริงกันอย่างเต็มที่ และระบบอื่น ๆ อย่างเช่น Battle Pass ที่ต้องเติมเงินแยก เพื่อซื้อเพิ่มอีกทีก็ยังมี แต่สามารถได้เงินคืนเมื่อเล่นเก็บระดับจนครบแล้วนั่นเองภาพรวมคอนเทนต์ของ NARAKA: Bladepoint ถือว่าเยอะพอสมควรกับตัวเกมในราคา 499 บาท ใครที่ชอบเกม Battle Royale เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และชอบการต่อสู้ระยะประชิดแบบจอมยุทธ์ด้วยแล้วล่ะก็ ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
บทความแนะนำ